ขายอะไรดี?
ขายอะไรดีคือคำถามยอดฮิตมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะถามอย่างนี้ไปอีกนานจนกว่าโลกจะแตกเพราะใครๆ ก็อยากขายได้ ขายดีกันทั้งนั้น
ธุรกิจตัดสินแพ้ชนะด้วยคน
ถ้าทุกอย่างเท่ากัน เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ Facility พื้นฐานของธุรกิจการแพ้ชนะและการเติบโตของธุรกิจจะตัดสินด้วย “คน”
แม้เทคโนโลยีและ Internet IOT AI ML และ Apps ต่างๆ จะพัฒนาไปไกลมากแต่ธุรกิจก็ยังต้องขับเคลื่อนด้วยคน บริหารจัดการและดำเนินธุรกิจด้วย “คน”
“คน” จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักและเป็นหัวใจสำคัญที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญในการสรรหา คัดเลือกและว่าจ้าง ถ้าต้องการให้ธุรกิจรุ่งและรอดและรวยและแน่นอนไม่ได้หมายถึงบริษัทที่มีแต่สากกะเบือแล้วหาคนเก่งๆ
มาทำงานก็จะประสบความสำเร็จได้เลย ธุรกิจหรือบริษัทจะหาคนเก่งมาร่วมงานได้ต้องมีลักษณะดังนี้
1.บริษัทต้องเก่งกว่าพนักงานคือบริษัทต้องมีพื้นฐานในการบริหารจัดการธุรกิจของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ก่อนแล้วพนักงานเป็นเพียงส่วนผสมหนึ่งที่บริษัทต้องการนำมาทำงานตามแผนและกลยุทธ์ของบริษัท โดยไม่ได้พึ่งพาความเก่งของพนักงานเท่านั้นธุรกิจจึงจะไปได้พูดง่ายๆ แม้ไม่มีพนักงานคนนี้หรือฝ่ายนี้บริษัทก็ยังดำเนินธุรกิจของตนเองต่อไปได้
2.บริษัทต้องอยู่เหนือระดับ “ค่าเฉลี่ย” ของบริษัททั่ว ๆ ไปซึ่งจะมีอยู่ 3 ระดับ
1.บริษัทระดับ “เหนือกว่าค่าเฉลี่ย”
2.บริษัทระดับ “ค่าเฉลี่ยทั่วไป”
3.บริษัทระดับ “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย”
เช่น ค่าจ้างพนักงานเริ่มต้น ค่าเฉลี่ยคือ 15,000-18,000 บาท
บริษัทระดับ “เหนือกว่าค่าเฉลี่ย” มีค่าจ้างเริ่มต้นที่ 30,000-35,000 บาท ปรับเงินเดือนขึ้นทุกปี โบนัส 6 เดือน
บริษัทระดับ “ค่าเฉลี่ยทั่วไป” มีค่าจ้างเริ่มต้นที่ 18,000-20,000 บาท นานๆ ปรับที โบนัส 1 เดือน
บริษัทระดับ “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย” มีค่าจ้างเริ่มต้นที่ 15,000-18,000 บาท ไม่มีการปรับเงินเดือนใดๆ ทั้งสิ้น โบนัสไม่มี
เห็นได้ชัดว่าบริษัทไหนจะมีคนเก่งไปสมัครงานและได้คนเก่งเข้าทำงานได้มากกว่ากัน นี่ยังไม่นับรวมข้อแตกต่างของบริษัท 3 ระดับนี้อีกมากมายหลายข้อ เช่น ชื่อเสียง สถานที่ทำงาน บรรยากาศ ระบบงาน สิ่งอำนวยความสะดวก ความก้าวหน้าในสายงาน เป็นต้น
“คนเก่งฉลาดราคาถูกไม่มี มีแต่คนโง่ราคาแพง”
3.วิธีการสรรหา คัดเลือก สัมภาษณ์คนเข้าทำงาน การหาคนเก่งมาทำงานไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีการคัดเลือกและสัมภาษณ์คนจึงสำคัญยิ่ง
1.บริษัทหาเอง ส่วนมากลงประกาศรับสมัครด้วยข้อความมาตรฐานทั่ว ๆ ไปเหมือนกันทุกบริษัท
2.จ้าง Head Hunter หาให้
3.ทาบทามและดึงตัวมาร่วมงานโดยเพื่อน ผจก. หรือผู้บริหาร
แต่ไม่ว่าจะแบบไหนจะต้องมีแนวทางตามแบบที่แนะนำในการหาคนเก่งมาร่วมงาน
1.ประกาศรับสมัครงานต้องโดดเด่น มีสไตล์แตกต่าง จากบริษัทอื่นๆ
2.ต้องการคนแบบไหนบอกไปเลย เหนือกว่าค่าเฉลี่ย ระดับค่าเฉลี่ย หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
3.มีความท้าทายและจูงใจคนมาร่วมงาน จ่ายค่าตอบแทนตามฝีมือและผลงาน
4.มีการสัมภาษณ์ครบทั้ง 3 แบบ ปากเปล่า, แบบทดสอบ, สอบปฏิบัติ (ลงมือทำ)
5.สัมภาษณ์ครบทุกเรื่องทุกมิติเพื่อให้ได้คนตามที่ต้องการจริงๆ
6.ทำ Check List การสัมภาษณ์กันผิดพลาดหลงลืมไม่ครบถ้วน
7.สัมภาษณ์ไม่น้อยกว่า 3 รอบ
4.ว่าจ้างแบบเป็นสัญญาจ้างพร้อมวิธีการวัดและประเมินผล เช่น BSC, KPI, OKRs เป็นต้น
5.สร้างบรรยากาศและระบบการบริหารจัดการที่เอื้อและจูงใจคน(เก่ง)ให้มีพลังและต้องการทำงานให้กับบริษัทเสมอ
สรุป ธุรกิจตัดสินแพ้ชนะด้วยคน
1.บริษัทต้องมีคุณภาพก่อนเพราะคุณภาพบริษัทคือคุณภาพคน, คุณภาพคนคือคุณภาพงาน, คุณภาพงานคือคุณภาพผลลัพธ์ ที่ธุรกิจหรือบริษัทต้องการ
2.บริษัทต้องมีคนที่มีระดับ “เหนือค่าเฉลี่ย” อย่างน้อย 80% ของพนักงานทั้งหมดเพราะพนักงานระดับ “ค่าเฉลี่ย” คือ ค่าที่คนส่วนใหญ่ทำได้ในระดับเส้นค่าเฉลี่ยปกติ
หากต้องการผลงานที่มากกว่าเส้น “ค่าเฉลี่ย” ต้องให้คนที่มีมาตรฐาน “สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย” มาทำ
หากให้คนที่มีมาตรฐานระดับเส้น…ค่าเฉลี่ย…มาทำ จะได้ผลลัพธ์เต็มที่คือ = ค่าเฉลี่ย หรือ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเท่านั้น
หากให้คนที่มีมาตรฐาน…ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย…มาทำ ผลลัพธ์จะมีอยู่แค่ทางเดียว คือ “ลงเหว”
เช่น เป็นบริษัท Tech Company แต่พนักงานไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีเลยหรือมีน้อยมาก เป็นบริษัทค้าขายกับต่างประเทศแต่พนักงานพูด
ภาษาต่างประเทศนั้นๆ ไม่ได้เลย เป็นบริษัทธุรกิจ E-Commerce แต่พนักงานไม่มีความรู้และเข้าใจธุรกิจ E-Commerce เลยนี่เป็นเหตุผล
พอเพียงที่จะบอกได้ว่าบริษัทไหนจะชนะหรือแพ้และบริษัทไหนจะแพ้ไปตลอดกาล
3.ถ้าหาคนเก่งไม่ได้ก็ต้องสร้างคนที่มีอยู่ให้เก่งและมีความเข้าใจการทำธุรกิจและลักษณะธุรกิจของบริษัทด้วยไม่งั้นธุรกิจรอดยาก
4.ลักษณะคนที่บริษัทต้องมีคือคนที่มี Performance มี Talents มี Competitive advantage เพื่อมาสร้างผลผลิต รายได้และกำไรให้กับธุรกิจ
5.ใช้ Outsource ร่วมด้วย
6.คุณสมบัติพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีคือ
7.ธุรกิจที่ชาญฉลาดต้องมีคน 5 กลุ่มนี้อยู่ในองค์กร (สัดส่วนมากน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
1.คนฉลาด
2.คนเก่ง
3.คนขยัน
4.คนโง่
5.คนบ้า
นี่ไม่ใช่การเขียนเอามันพูดเอาฮาแต่เกิดจากประสบการณ์จริงที่ผ่านคนมามากและธุรกิจที่หลากหลายจนตกผลึกทางความคิดและนำมาเล่าให้ฟัง
คนฉลาด มีไว้วางแผนและควบคุมเกมธุรกิจทั้งหมด
คนเก่ง มีไว้แก้ปัญหาเฉพาะด้าน เฉพาะทาง
คนขยัน มีไว้ทำงานแบบบ้าเลือดลืมตาย
คนโง่ มีไว้ทำงานที่หาคนทำไม่ได้หรือหายาก
คนบ้า มีไว้ทำงานที่ต้องอาศัยความบ้าเป็นหลัก งานแปลกๆ หรือ ไม่มีใครกล้าทำ
และมีคนประเภทหนึ่งที่ห้ามมีเด็ดขาดคือ…คนชั่ว…ถ้ามีหรือเห็นภายหลังต้องกำจัดออกทันทีไม่งั้นธุรกิจ…พัง…
ธุรกิจ…Run…ด้วยคนถ้าไม่พร้อมเรื่องคนหรือหาคนได้ไม่ครบตามแผนบอกเลยธุรกิจไปยากหรือเจ๊งได้เลย
ยังมีความสลับซับซ้อนอีกมากเรื่องคนถ้ายังไม่ตกผลึกเรื่องคนอย่างแตกฉานอย่าคิดทำธุรกิจเพราะ…เรือหาย…แน่นอน
ขายอะไรดีคือคำถามยอดฮิตมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะถามอย่างนี้ไปอีกนานจนกว่าโลกจะแตกเพราะใครๆ ก็อยากขายได้ ขายดีกันทั้งนั้น
บางครั้งเราอาจลืมคิดเรื่องคนว่าสำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างไรแล้วไปทุ่มลงทุนด้านอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี การตลาด การขายสุดท้ายธุรกิจไปไม่รอด
หาเงินมาได้ก็อยากใช้เงินบ้างแต่ช้าก่อนหากเป็นเงินบริษัทต้องใช้ให้ถูกวิธีไม่งั้นปัญหาชีวิตจะตามได้ในภายหลัง
SME ต้องเปลี่ยแปลงตัวเองตามโลกที่เปลี่ยนไปหากไม่ทำอะไรเลยนั่นคือการพร้อมฆ่าตัวตายจาก Digital ไปแบบไม่มีวันกลับ Digital Transformation
งานคือเงินและเงินก็คืองานจะหางานอย่างไรให้ได้งานและบริษัทจะหาคนอย่างไรให้ได้คนนั่นคือทั่งสองฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหากัน
การบริหารที่ยากที่สุดคือการบริหารคนเพราะคนคือปัญหาที่มีขาและยิ่งคนจำนวน 2,300,000 คนนั้นจะเป็นอย่างไรความสับสนวุ่นวายจะเป็นอย่างไร